ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุฯ / ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ เป็นตัวแทน (6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน) ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

อาทิตย์ ที่ 1 สิงหาคม 2564 จำนวนอ่าน 1907 ครั้ง

รูปภาพประกอบ

ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุฯ / ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ  เป็นตัวแทน (6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน) ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
 
ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุฯ / ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ  เป็นตัวแทน (6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน) ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
 
ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุฯ / ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ  เป็นตัวแทน (6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน) ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
 
ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุฯ / ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ  เป็นตัวแทน (6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน) ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
 
ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุฯ / ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ  เป็นตัวแทน (6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน) ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
 
ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุฯ / ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ  เป็นตัวแทน (6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน) ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
 
ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุฯ / ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ  เป็นตัวแทน (6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน) ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
 
ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุฯ / ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ  เป็นตัวแทน (6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน) ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
 
ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุฯ / ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ  เป็นตัวแทน (6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน) ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
 
ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุฯ / ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ  เป็นตัวแทน (6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน) ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
 
ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุฯ / ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ  เป็นตัวแทน (6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน) ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
 
ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุฯ / ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ  เป็นตัวแทน (6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน) ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
 

ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุฯ / ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ เป็นตัวแทน (6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน) ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา

ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุฯ / ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ  เป็นตัวแทน (6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน) ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงท่าน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯผ่าน ท่าน อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (จี้! ให้ยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน) ไปแล้วตามข่าว

 

 

     ที่ทำเนียบรัฐบาล กทม.วันที่ 30 ก.ค. 64 เวลา 11.00 น. ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุและโทรทัศน์ไทย และ ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เป็นตัวแทน 6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลชน ยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯรัฐมนตรี ผ่านนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยเรียกร้องให้ยกเลิกข้อกำหนดฉบับที่ 27 ข้อ11 และข้อกำหนดฉบับที่29 ตามมาตรา 9 ของพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่คุกคามเสรีภาพสื่อมวลชนและประชาชน โดยเนื้อหาของจดหมายเปิดผนึกระบุว่า

จดหมายเปิดผนึก

เรื่อง                  ขอให้ยกเลิกข้อความในข้อที่ 11 ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราช กำหนดการ บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 27) และข้อกำหนดในฉบับที่ 29

เรียน                 ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี

ตามที่ท่านได้ออกข้อกำหนดตามมาตรา 9 (3) แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับที่ 27 ข้อ 11 เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2564 และฉบับที่ 29 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2564 ระบุข้อความว่า ในลักษณะเดียวกันว่า การเสนอข่าวหรือการทําให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใด ที่มีข้อความอันอาจทําให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว  หรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารทําให้เกิดความเข้าใจผิดในสถานการณ์ฉุกเฉินจนกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน   ทั่วราชอาณาจักรตามความทราบแล้วนั้น องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 6 องค์กร ดังมีรายชื่อท้ายจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ได้ปรึกษาหารือกันจนมีข้อสรุปว่า ถ้อยคำตามข้อกำหนดดังกล่าว สุ่มเสี่ยงที่จะถูกใช้เป็นเครื่องมือคุกคามเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชน ซึ่งได้รับการรับรองไว้ในมาตรา 34 และมาตรา 35 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

  1. ข้อกำหนดดังกล่าว ให้อำนาจเจ้าหน้าที่รัฐในการเอาผิดแม้เพียงแค่ ข้อความอันอาจทําให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวโดยปราศจากหลักเกณฑ์หรือขอบเขตของการใช้อำนาจที่ชัดเจน ดังนั้น แม้ประชาชนและสื่อมวลชนที่เผยแพร่ข้อเท็จจริงหรือความจริงก็อาจถูกดำเนินคดีหรือคุกคามจากหน่วยงานของรัฐได้ เพียงเพราะใช้วิจารณญานว่าเป็นการทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว 

  2. ข้อกำหนดทั้ง 2 ฉบับนี้ มีเนื้อหาแตกต่างจากข้อกำหนดในลักษณะเดียวกันที่เคยมีการประกาศก่อนหน้านี้ในข้อกําหนดฉบับที่ 1 ลงวันที่ 25 มีนาคม 2563 ข้อ 6 ซึ่งระบุไว้ความชัดเจนว่า จะห้ามเสนอข่าวฯ ได้ ต้องเป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 และต้องเป็นการเสนอข่าวหรือทำให้เผยแพร่ข้อความอันไม่เป็นความจริง รวมทั้งระบุให้เจ้าหน้าที่ต้องเตือนให้ระงับหรือสั่งให้แก้ไขข่าวเสียก่อน 

  3. ตลอดระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนได้ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลพร้อมทั้งขอให้รัฐบาลทบทวนการออกข้อกำหนดข้างต้น หรือจัดทำแนวปฏิบัติจากข้อกำหนด และแถลงถึงเจตนารมณ์ในการบังคับใช้ให้เกิดความชัดเจน เพื่อมิให้มีการนำข้อกำหนดดังกล่าว ไปเป็นเครื่องมือในการปิดกั้นการทำหน้าที่เสนอข่าวสารของสื่อมวลชนและการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตของประชาชน จนกระทบต่อสิทธิการรับรู้ข่าวสารและการแสดงความคิดเห็นของประชาชน แต่กลับถูกเพิกเฉย อีกทั้งได้มีการออกข้อกำหนดฉบับที่ 29 ซ้ำอีกครั้ง โดยมีการขยายขอบเขตการใช้อำนาจในการจำกัดเสรีภาพการแสดงความเห็นของประชาชนและสื่อมวลชนให้กว้างขวางออกไปอีก

ด้วยเหตุผลที่ระบุมาข้างต้น องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 6 องค์กร จึงขอเรียกร้องให้มีการยกเลิกข้อความในข้อที่ 11 ของข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 27) รวมทั้งข้อกำหนดฉบับที่ 29 (ทั้งฉบับ) โดยทันที  เพื่อมิให้เกิดความเสียหายต่อเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชนมากไปกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจะให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เลวร้ายลงไปอีก

    ทั้งนี้ หาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรียังคงเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องตามจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนทั้ง 6 องค์กรจะเพิ่มมาตรการในการกดดันให้รัฐบาลต้องพิจารณายกเลิกข้อกำหนดดังกล่าว ทั้งมาตรการทางด้านกฎหมายและมาตรการทางสังคมต่อไปจนถึงที่สุด

ขอแสดงความนับถือ

สภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ

สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย

สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย

สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย

สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์

    สหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย

ด้าน ท่าน อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไม่ได้จำกัดสิทธิเสรีภาพ ประชาชนและสื่อมวลชนสามารถวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลได้ เพียงขอให้เสนอข้อมูลบนพื้นฐานข้อเท็จจริง ไม่สร้างความหวาดระแวงหรือความกังวลในสังคม พร้อมเชิญชวนสื่อมวลชนวิชาชีพร่วมกับหน่วยประชาสัมพันธ์ภาครัฐแสวงหาพื้นที่กลาง (Common Ground) เพื่อออกแบบการทำงานร่วมกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดสำหรับประชาชน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณและยินดีที่ได้มีโอกาสร่วมพูดคุยกับผู้แทน 6 องค์กรวิชาชีพสื่อซึ่งเป็นช่องทางสื่อสารที่ดีที่สุด ในการสร้างความเข้าใจซึ่งกันและกัน รวมทั้งการแลกเปลี่ยนความเห็นร่วมกันในวันนี้ และจะสื่อสารไปยังนายกรัฐมนตรีด้วย โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังยืนยันข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 27 และข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ฉบับที่ 29 ที่ออกมาเป็นเพียงการปิดช่องว่างของกฎหมายที่มีอยู่ปัจจุบัน ซึ่งมีข้อจำกัดในการบังคับใช้ เช่น จำเป็นต้องมีผู้ฟ้องร้องดำเนินคดี เป็นต้น ซึ่งรัฐบาลมีเจตนารมณ์เพียงยกระดับการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสกัดกั้นการเผยแพร่ข่าวปลอมรวมทั้งการกระทำที่เป็นการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารด้วยความตั้งใจ ซึ่งไม่ได้เจาะจงหรือตั้งใจบังคับใช้กับสื่อมวลชนวิชาชีพ แต่เป็นที่รับทราบโดยทั่วไปว่ามีการสื่อสารสาธารณะผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ ซึ่งนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ไม่ได้นำมาจากข้อเท็จจริง ซึ่งไม่สามารถควบคุมและมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้สังคม ประชาชนเกิดความหวาดระแวงหรือความหวาดกลัว โดยเฉพาะวิกฤตโควิด-19 ในขณะนี้ ซึ่งหลายประเทศก็พบปัญหาการเผยแพร่ข้อความเท็จ/ข่าวปลอม จำนวนมากขึ้นเช่นกัน อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีให้นโยบายแก่หน่วยที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมาย ต้องระมัดระวัง เป็นธรรม และสอดคล้องกับสถานการณ์

ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งประเทศไทยกล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีว่า เนื่องจากองค์กรวิชาชีพมีข้อห่วงใยและความวิตกกังวล ในการที่ภาครัฐได้มีการออกประกาศข้อกำหนดฉบับที่ 27 และข้อกำหนดฉบับที่ 29 ซึ่งที่ผ่านมา องค์กรสื่อฯ ได้มีแถลงการณ์เมื่อวันที่ 15 ก.ค. ขอให้รัฐบาลยกเลิกมาตรการจำกัดเสรีภาพประชาชนและสื่อมวลชนตาม พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ โดยเฉพาะข้อกำหนดฉบับที่ 29 ได้มีการปรับเนื้อหา องค์การสื่อมองว่า หน่วยบังคับใช้กฎหมายอาจใช้เป็นโอกาสในการตีความเจตนารมณ์นำไปสู่การปิดกั้นการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน หรือการแสดงความเห็นของประชาชน จึงตัดสินใจยื่นหนังสือกราบเรียนนายกรัฐมนตรีถึงข้อห่วงใยนี้ ที่ผ่านมาองค์การสื่อได้ทำงานร่วมกับภาครัฐมาโดยตลอดทั้งกรมประชาสัมพันธ์ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้ง ศปก. ศบค. อย่างใกล้ชิด ผ่านช่องทางไลน์อยู่แล้ว ขอยืนยันผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนเห็นด้วยกับรัฐบาล ที่สกัดกั้นข่าวปลอมไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนจากข้อเท็จจริง

    โอกาสนี้ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า รัฐบาลไม่มีเจตนาปิดกั้นการทำงานของสื่อมวลชนวิชาชีพ พร้อมเชิญชวนสื่อมวลชนและองค์การสื่อวิชาชีพ ร่วมกับภาครัฐในการแสวงหาพื้นที่กลาง (Common Ground) เพื่อร่วมกันออกแบบกรอบการทำงานและเป็นช่องทางประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานประชาสัมพันธ์ภาครัฐและสื่อมวลชน รวมทั้งยังได้เพิ่มเติมให้มีการใช้ช่องทางโฆษกกระทรวง ซึ่งมีภาระหน้าที่ สื่อสารให้ข้อมูล อำนวยความสะดวกเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการติดต่อประสานข้อมูล โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียังกล่าวแสดงความยินดีว่า วันนี้สื่อมวลชนและรัฐบาลเห็นพ้องร่วมกัน มีความจำเป็นต้องสกัดกั้นข่าวปลอม เพราะข้อมูลที่ถูกต้องคือประโยชน์ของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง

(ปอ คลองตัน / รายงาน / ข้อมูล จาก...PR. สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ฯ)เข้าไปดูข่าวได้ที่...www.nes-mahachon.com
นสพ.นิวส์มหาชนออนไลน์นำเสนอข่าวทั่วโลกเข้าไปดูมือถือของท่านได้ที่..www.news-mahachon.com

Tag : ท่าน ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี ประธานสภาการสื่อมวลชนแห่งชาติ ท่าน สุปัน รักเชื้อ รักษาการเลขาธิการสภาวิชาชีพวิทยุฯ / ท่าน จีรพงษ์ ประเสริฐพลกรัง เลขาธิการสมาคมนักข่าวฯ เป็นตัวแทน (6 องค์กร วิชาชีพสื่อมวลช



ข่าวยอดนิยม @ข่าวสังคมมหาชนนิวส์มหาชน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง @ข่าวสังคมมหาชนนิวส์มหาชน